
How to ติดหมอรอบพอร์ตแบบละเอียดมากก โดยพี่หนูดี DEK68
Share
ฮัลโหล👋🏻 สวัสดีค่ะทุกคนนน เราชื่อหนูดีนะ เป็น dek68 ที่พึ่งติดรอบ portfolio คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตร M.D. และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 💙💚
วันนี้จะมาแชร์ how to การเตรียมตัวรอบ portfolio ให้ทุกคนฟังกันน้า🩷
🆘 ถ้าใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ติดต่อทาง IG : nnoodee_s ได้เลยนะ😽
⚠️คำเตือน : สิ่งที่เรากำลังจะเล่ามาจากประสบการณ์ของเราโดยตรง ใครที่มาอ่าน ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกอย่างน้า เอาไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองก็พองับ💪🏻
⁉️📍1️⃣ทำไมถึงเลือกที่จะเข้ารอบ 1 portfolio ?
-
ช่วงขึ้นม.ปลายใหม่ ๆ ก็เริ่มศึกษาเกี่ยวกับการเข้ามหาวิทยาลัยในแต่ละรอบ รอบ 1 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เราสนใจเพราะรอบนี้เปิดโอกาสให้เรายื่นได้ทุกคณะ ทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศเลย ประกอบกับว่าเราอยากใช้ชีวิตม.ปลายให้คุ้มด้วยในแง่ของการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อค้นหาและพัฒนาตัวเอง เรามองว่าการทำกิจกรรมหรือไปแข่งไม่ได้มีประโยชน์แค่เอาไปใส่ใน portfolio ได้ แต่ยังทำให้เราได้รู้จักตนเองมากขึ้นด้วย✅
⁉️📍2️⃣เริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ตอนไหนดี ?
-
แนะนำว่าควรเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่เรารู้ตัวเลยว่าอยากเข้า ยิ่งเตรียมตัวเร็ว ก็ยิ่งดีเลย😻เพราะพอเรามีเวลาเตรียมตัวเยอะ เราจะลน+เครียดน้อยลงด้วย
-
ส่วนตัวเราเริ่มเตรียมตัวจริงจังตอนม.5 เทอม 1 แต่รู้สึกว่ามันแอบช้าไป555555 เพราะเราต้องไปทำกิจกรรมและสอบเยอะมากๆๆๆจนทำให้ช่วงใกล้ยื่นพอร์ตเราค่อนข้างเครียด เพราะไม่ค่อยมีเวลาพักเท่าไหร่🫨
-
‼️แต่จริง ๆ แล้วการที่เรารู้เป้าหมายของตัวเองช้าก็ไม่เป็นไร ขอแค่เราโฟกัส วางแผนและทำเต็มที่ในตอนที่เรายังทำได้ก็พอแล้ว อย่าเพิ่งไปกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจะดีที่สุด🫶🏻🫶🏻
⁉️📍3️⃣ควรเริ่มเตรียมตัวยังไงดี ?
แบ่งเป็น 5 steps ตามนี้
1️⃣ค้นหาตัวเอง + ตั้งเป้าหมาย📌
-
การที่เรารู้เป้าหมายของตัวเองจะทำให้เรามีแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองให้เราไปถึงเป้าหมายได้ดีมาก ๆ
-
❗️แนะนำว่าเราอาจเริ่มจากการลองตัดสิ่งที่ไม่ชอบก่อนก็ได้แล้วค่อย scope ขอบเขตลักษณะการทำงานลึกลงมาเรื่อย ๆ
-
จากนั้นก็ลองทำหลาย ๆ อย่างดูว่าเราชอบสิ่งที่เราสนใจจริงๆมั้ย รับได้มั้ยที่ต้องทำสิ่งนี้ไปอีกหลายสิบปี เช่น เข้าร่วมกิจกรรม open house, ค่ายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ, ฝึกงาน
-
พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพนั้นให้ได้มากที่สุด เช่น หาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ถามผู้มีประสบการณ์ในการทำอาชีพนั้น ๆ ถ้าเราชอบก็ลุยต่อ💪🏻
-
สำหรับน้องๆที่สนใจสายสุขภาพ🩺 ถ้าสะดวกก็อยากให้ลองไปฝึกงานที่โรงพยาบาลดู เพราะทำให้ได้เห็นบรรยากาศในการทำงานจริง🤩
2️⃣ศึกษา requirement ของแต่ละมหาวิทยาลัย
-
ในแต่ละมหาวิทยาลัย ก็จะมี requirement ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเราต้องอ่านให้ละเอียด🔍 เพราะถ้าเราไม่มีคุณสมบัติครบตามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ โอกาสที่เราจะผ่านการคัดเลือกก็จะแทบไม่มีเลย🚫
-
สามารถอ่านของปีรุ่นพี่ไว้ก่อนได้ แต่เกณฑ์การคัดเลือกมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอด หน้าที่ของเราคือต้องคอยติดตามข่าวสารอยู่เสมอ📝
-
⚠️ถ้าสนใจมหาวิทยาลัยไหน ก็อยากให้ลองหาข้อมูลดูว่าเขาต้องการผู้สมัครแบบไหน เขาให้ความสำคัญกับอะไรเป็นพิเศษ💬 เช่น ลองถามรุ่นพี่ หาข้อมูลในยูทูป ‼️ถ้าเรารู้ insight เหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการทำพอร์ตของเรามาก ๆ ทั้งการเลือกกิจกรรมและการเขียน reflection,sop ในพอร์ตของเรา🩷🩷
-
📄โดยทั่วไปจะต้องเตรียมประมาณ 5 อย่างนี้📄
-
1. เกรดเฉลี่ย gpax, gpa
-
2. คะแนนสอบภาษาอังกฤษ เช่น IELTS(Academic), TOEFL
-
3. คะแนนสอบด้านวิชาการ เช่น TBAT, CU-AAT, TGAT, MCAT, UCAT (ยกตัวอย่างการสอบที่หลายมหาวิทยาลัยใช้ใน TCAS68 ในปีต่อๆมาอาจมีการเปลี่ยนแปลง📍)
-
4. กิจกรรมในพอร์ต : ในบางมหาวิทยาลัย จะกำหนดจำนวนหัวข้อกิจกรรมมาหรือบางที่ก็จะกำหนดเป็นจำนวนหน้าที่ใส่กิจกรรมแทน และอาจกำหนดอักขระในการเขียน reflection (การเขียนบรรยายกิจกรรมในพอร์ต) ของแต่ละกิจกรรมด้วย
-
5. การเขียน Personal Statement : เขียนหัวข้อตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
3️⃣ ลอง list กิจกรรมที่ตัวเองเคยทำ
-
ในการ list กิจกรรมนี้ แนะนำให้แบ่งแต่ละกิจกรรมเป็นด้าน ๆ ไป จะทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เรายังขาดกิจกรรมในด้านไหน เช่น ด้านวิชาการ จิตอาสา การแพทย์ นวัตกรรม ความเป็นผู้นำ
4️⃣ วางแผน
-
หลังจากที่เรารู้แล้วว่าเราต้องทำอะไรอีกบ้าง เช่น สอบ IELTS, ทำกิจกรรม ให้ลองเขียน plan การเตรียมตัวดู อาจทำในรูปแบบของ timeline ว่าเราต้องทำอะไรบ้างและภายในเมื่อไหร่ เช่น สอบ IELTS ให้จบก่อนขึ้นม.6 ✅
5️⃣ ทำเลย ภายใน 321‼️
-
วางแผนไว้ดีแค่ไหน แต่ถ้าสุดท้ายเราไม่ลงมือทำ เป้าหมายเราก็ไม่สำเร็จนะ ลุยเลย💪🏻💪🏻
⁉️📍4️⃣คำแนะนำจากพี่🆘🆘🆘
-
⚠️การสอบ IELTS : อย่าชะล่าใจกับการสอบ IELTS จากประสบการณ์ที่เห็นบางคนเริ่มสอบช่วง 3 เดือนก่อนที่จะยื่นพอร์ต ซึ่งเป็นเวลาค่อนข้างกระชั้นชิดมากก🙀 เพราะช่วงนั้นเราก็ต้องเตรียม portfolio ด้วย และในบางมหาวิทยาลัยมีการคิด % คะแนน IELTS ตาม range ที่กำหนด นั่นแปลว่า ถ้าเราได้ IELTS สูง เราก็ได้เปรียบกว่าคนอื่น🏅 ดังนั้น ควรเตรียมตัวและสอบ IELTS ให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่กดดันมาก นอกจากนี้การเตรียมสอบ IELTS ยังมีประโยชน์มาก ๆ ในการสอบ A-LEVEL และการอ่านวิจัยต่าง ๆ ด้วย🩵
-
⚠️การเก็บเกรดที่รร. : เกรดที่โรงเรียนก็สำคัญเนื่องจากเป็น 1 ใน requirements ที่มหาวิทยาลัยกำหนด❗️ ถ้าเราเก็บกิจกรรม / สอบแข่งหลายอย่างไว้ แต่ถ้าเราเกรดไม่ถึง ก็จบเหมือนกัน🫠
-
⚠️การมีแผนสำรอง : เนื่องจากรอบ portfolio เป็นรอบที่มหาวิทยาลัยเลือกเรา ดังนั้นการเตรียมตัวแค่รอบนี้เลยค่อนข้างเสี่ยง เช่น มีโอกาสตกรอบสัมภาษณ์ เพราะในแต่ละปี เกณฑ์ก็อาจแตกต่างกันไป ⭕️การมี exit plan เลยสำคัญมาก ๆ⭕️ อย่างตัวพี่ก็เตรียมตัวทั้งรอบ 1 และ 3 ไปพร้อมกัน เหนื่อยหน่อยแต่ถ้าติด จะรู้สึกว่าที่ทำไป หายเหนื่อย คุ้มแน่ๆ😻
🩷ยกตัวอย่าง TIMELINE แนะนำสำหรับคนเตรียมรอบ 1 และ 3🩷
ม.4 -> IELTS, ทำโครงงาน, ทำกิจกรรม
ม.5 -> ทำโครงงาน, ทำกิจกรรม
ม.6 -> เตรียมสอบ TCAS, ทำ portfolio, เตรียมสอบ MMI
-
⚠️หลังทำกิจกรรม ควรทำอะไรต่อ❓: ควรเขียนบันทึกว่ากิจกรรมนี้เกี่ยวกับอะไร หน้าที่ของเรา เราได้อะไรจากกิจกรรมนี้
-
⚠️การยื่นพอร์ต : ถ้าเรามีคุณสมบัติครบตาม requirement ที่ม.กำหนด ให้ยื่นพอร์ตไว้หลาย ๆ ที่จะดีมาก เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเอง🔔
-
❤️🔥❤️🔥คอร์สแนะนำโดยรุ่นพี่ที่ติดคณะแพทย์ รอบ 1 ตัวจริง❤️🔥❤️🔥 :
📍Med Portfolio Guide by Yoursphere📍
-
เป็นคอร์สที่จะพาน้อง ๆ ไปเรียนรู้เกี่ยวกับการทำ portfolio เจาะจงคณะแพทย์แต่ละมหาวิทยาลัยทั่วไทย😻ทำโดยรุ่นพี่ผู้มีประสบการณ์ที่ติดคณะแพทย์ รอบ 1 ถึง 9 สถาบัน❗️
-
ใครอยากรู้ insight เพิ่มเติมเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยไหน ก็สามารถดูได้เลยจากในคอร์สนี้ มีประโยชน์มาก ๆ ต่อการวางแผนทำ portfolio การเขียน reflection รวมถึงได้เห็นตัวอย่างพอร์ตของรุ่นพี่ที่ติดตัวจริง🩷ด้วยนะ🩷🩷
สุดท้ายนี้ อยากเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ ทุกคนในการเข้ามหาวิทยาลัยนะ💪🏻 ทำให้เต็มที่แต่อย่าลืมพักผ่อนกันด้วย💤 สู้ ๆ พี่เชื่อว่าน้องทำได้ เชื่อมั่นในตัวเองแล้วผลของความพยายามจะไม่สูญเปล่าแน่นอน❗️